Tag Archives: movie

Be with you

เพิ่งมีโอกาสได้ดูเรื่อง Be with you จนจบ .. เฮือกๆๆ .. รีบเผ่นมาบันทึก blog อย่างด่วน .. Be with you เป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติกของญี่ปุ่น ชื่อญี่ปุ่นคือ Ima, Ai ni Yukimasu (いま、会いにゆきます) ออกฉายประมาณปี 2004 เนื้อเรื่องมาจากนิยายขายดี ภาพสวย เนื้อหาดี วิธีเล่าก็ดี .. แต่ไม่เล่าดีกว่า เดี๋ยวดูแล้วจะไม่อิน .. เอาเป็นว่าได้คะแนน 8.4/100 ที่ IMDB .. เฉพาะในญี่ปุ่นว่ากันว่าคนตีตั๋วไปดูแถวๆ 3.8 ล้านคน ทำรายได้มากกว่า 5,000 ล้านเยน .. น่าจะเป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติกของญี่ปุ่นที่ดีที่สุดเรื่องนึงในรอบหลายปีเลยแหละ ..

บ้านเราไม่รู้ว่าเคยเข้าโรงฉายหรือเปล่า แต่มีดีวีดีขาย (ของ EVS) ภาษาไทยใช้ชื่อ "ปาฏิหาริย์ 6 สัปดาห์ เปลี่ยนฉันให้รักเธอ" … ถ้าที่บ้านติดดาวเทียมก็อาจจะรอดูจากช่อง MIC ของ MVTV ได้

/me ไม่ชอบหนังโรแมนติกซักกะนิด แต่ชอบเรื่องนี้อะ .. แนะนำๆๆ

Nodame Cantabile

หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวบังเอิญได้มาอยู่ห้องข้างๆ กัน ทั้งคู่เหมือนกันตรงรักดนตรีคลาสสิคและเป็นคนมีพรสวรรค์ทางดนตรี ฝ่ายชายสุดหล่อพ่อรวยเก่งรอบด้านเพอร์เฟคจนไม่รู้ตัวว่าขาดสิ่งสำคัญที่จะทำให้ตัวเองก้าวไปสู่ความสำเร็จในฐานะวาทยกร ในขณะที่ฝ่ายสาวตรงข้ามกับชายหนุ่มแทบทุกอย่าง เพ้อฝัน ซกมก ตะกละ และมั่วนิ่มไปทุกเรื่อง แต่ด้วยพรสวรรค์ระดับหูเทพ เธอสามารถเล่นเปียโนตามได้ด้วยการฟังครั้งเดียวโดยไม่ต้องดูสกอร์ จริงๆ แล้วเธอชอบเล่นตามใจตัวเองมากกว่าตามสกอร์ ถึงจะไพเราะและสร้างความประหลาดใจอยู่บ่อยครั้ง แต่ดนตรีของเธอออกจะมั่วๆ หากวัดตามบรรทัดฐานที่เคร่งครัดของดนตรีคลาสสิค

ด้วยเหตุผลบางประการชายหนุ่มโคตรเพอร์เฟคไม่สามารถเดินทางออกนอกญี่ปุ่นได้ เขาจึงท้อแท้เพราะคิดว่าเก่งแค่ไหนก็ไม่มีทางโกอินเตอร์ได้ และบังเอิญอีกว่า เป็นวาทยกรระดับโลกที่สังเกตเห็นพรสวรรค์ของทั้งสองคน เขาตัดสินใจสอนให้ทั้งสองคนรู้จักดนตรีมากขึ้นไปอีก และผลักดันให้ทั้งสองก้าวไปให้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ และคงไม่ได้สอนอย่างมีแบบแผนแน่ๆ เพราะอีกด้านหนึ่งของวาทยกรระดับโลกนี้เป็นตาแก่จอมลามกสุดๆ ด้วย ..

สรุปแล้ว เรื่องนี้เจ๋งมากๆ เจ๋ง 360 องศา ความสนุกสนาน แรงบันดาลใจ ดนตรีคลาสสิคเพราะๆ .. และ ฮาโคตรๆ :D

Nodame Cantabile ตัวต้นฉบับเป็นการ์ตูนในชื่อเดียวกันนี้แต่งโดย Tomoko Ninomiya เป็นการ์ตูนที่ได้รางวัล Kodansha Manga Award ในปี 2004 นอกจากเวอร์ชัน manga แล้วยังมี anime และซีรีส์ live action ที่เพิ่งออกอากาศเมื่อปลายปีที่แล้ว ในมุมหนึ่ง Nodame Cantabile มักได้รับการเปรียบว่าเป็น Swing Girls ที่ใช้ดนตรีคลาสสิคแทนแจ๊ส พอทำเป็นซีรีส์หลายตอน มิติมันก็ได้ละเอียดลึกกว่า มีมุมที่รอบด้านกว่า Swing Girls ที่เป็นภาพยนตร์ … ที่ต้องให้เครดิตทั้งสองเรื่องคือไม่ใช่แค่เอาดนตรีมาเป็นเครื่องมือในการสร้างโครงของบทแล้วโดนองค์ประกอบอื่นเบียดจนจมหาย ทั้งสองเรื่องใส่ใจกับแก่นของดนตรีอย่างพอเหมาะ แม้จะฮา ก็มีดนตรีดีๆให้ฟังได้อิ่มพอ มีสาระดนตรีที่ทำให้ผู้ชมอินไปกับมันได้ ประกอบกับได้นักแสดงฝีมือดี ผลคือ Nodame Cantabile และ Swing Girls กวาดรางวัลมาเพียบ

สำหรับคนชอบดนตรีคลาสสิค ตัวอย่างเพลงเด่นๆ เท่าที่จำได้ (ก่อนจะเพลินจนลืม) ก็มี

  • Symphony No.7 และ No.9 ของ Ludwig Van Beethoven
  • Rhapsody in Blue ของ George Gershwin
  • Piano Concerto No.2 ของ Sergei Rachmaninoff
  • Fantasies Impromptu ของ Frederic Francois Chopin
  • Violin Concerto ของ Felix Mendelssohn
  • Symphony No.1 ของ Johannes Brahms
  • Caprice No. 24 ของ Niccolo Paganini … เวอร์ชันในเรื่องน่าจะเป็น Paganini Variations Op.35 ของ Brahms สำหรับเดี่ยวเปียโน

ถ้าจำไม่ผิด น่าจะมีของ Mozart กับ Massenet ปนๆ อยู่ แถมด้วยเวอร์ชันออร์เคสตร้าของเพลง Love of My Life ในอัลบัม Supernatural ของ Carlos Santana .. :P

หามาดูนะท่านๆ ทั้งหลาย … ถ้ายังไม่เคยดู Swing Girls ก็ไปหามาดูด้วยเหมือนกัน .. แนะนำๆ …

Credit to น้องฝ้าย (เจ้าลัทธิ)

Death Note

อีกครั้งที่การ์ตูนกลายเป็นภาพยนตร์ .. ใครไม่เคยอ่านการ์ตูนไปดูแล้วอาจจะรู้สึกงงๆ นิดหน่อย .. แต่ใครเคยอ่านการ์ตูนมาก่อน เนื้อเรื่องภาคภาพยนตร์จะเพี้ยนจากภาคการ์ตูนนิดหน่อย ดูจบแล้วเดินออกจากโรงหนังอาจจะยิ้ม + หัวเราะ (เหมือนเสียสติ .. เพราะเสียดายตังค์ ?) ..

ไม่ใช่ว่าภาคภาพยนตร์มันไม่สนุกหรือไม่ดีนะ อย่างน้อยตัวละคร L /ริวซากิ ก็แสดงได้สมบทบาทเหมือนการ์ตูน ส่วนยมฑูตลุคเป็น CG + ทีมพากษ์พันธมิตรก็กวนใช้ได้ .. YMMV!

Infernal Affairs (Trilogy) / Gaim + GNU TLS

ศุกร์ เผางานส่งไปหนึ่งชิ้น อนาถจริงๆ .. เย็นๆ ออกไปกินข้าว ซื้อ DVD Infernal Affairs มาสามภาครวด .. เรื่องนี้อยากเก็บตั้งนานแล้ว พอดีกว่าบริษัทที่ได้ลิขสิทธิ์ทำแผ่นราคาถูกขายเป็นแบรนด์ DVDEasy เป็นแผ่น DVD5 ออดิโอ 5.1 แทร็คเดียว พากษ์ไทย ไม่มีบรรยาย ไม่มีฟีเจอร์พิเศษ (แปลว่าไม่ต้องมีเมนู ซึ่งก็แปลว่าใส่แผ่นแล้วเล่นได้เลย ซื่งก็เป็นที่มาของชื่อแบรนด์ DVDEasy ที่ชูแนวความคิดว่า ใช้ง่าย ใส่แผ่นแล้วเล่นได้เลย) ราคาตั้งไว้ที่ 159 ราคาขาย 109 – 129 .. ก็พอดีอีกว่า เรื่อง Infernal Affairs เป็นหนังจีนซื่งต้องฟังพากษ์ไทยอยู่แล้ว แผ่นละ 109 บาทถูกกว่าแผ่นเถื่อนอีก ..

กลับมาที่ Infernal Affairs .. แกนของเรื่องใช้การดำเนินชีวิตที่ขัดแย้งกับตัวเองของคนสองคน หนึ่งในนั้นเป็นผู้สืบเชื้อสายมาเฟียใหญ่ แต่เข้ามาเป็นตำรวจด้วยใจรักและกลับมาเป็นสายสืบของตำรวจในกลุ่มมาเฟีย เพื่อปกปิดสถานะตัวเองก็จำต้องใช้ชีวิตที่ขัดแย้งกับอุดมการณ์อย่างรุนแรง จนไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นตำรวจหรือมาเฟียกันแน่ .. อีกหนึ่งเป็นคนที่มาเฟียส่งเข้ามาเป็นตำรวจเพื่อให้เป็นสายในกรม โดยท้ายที่สุดอยากมีโอกาสกลับตัวเพราะคนรัก ทั้งสองเรียนตำรวจรุ่นเดียวกัน สภาพการณ์จึงเหมือนเหมือนเดินทางสวนกัน ..เปิดเรื่องมาก็ขมวดปมของเรื่องชนิดแบกรับเกือบไม่ทัน ดูไปไม่กี่นาทีก็เริ่มเห็นความมันส์รออยู่ข้างหน้าแล้ว .. ภาคแรกจบแบบพอจะคาดเดาตอนจบได้ .. ทางตรรกยังมีอะไรค้างๆ คาๆ อยู่ จะจบเลยก็ได้ จะไม่จบก็ยังมีปมที่ไม่ชัดให้เล่นต่ออีก .. และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

ภาคสอง ย้อนอดีตไปในสมัยก่อนที่สองตัวเอกจะเข้ามาสมัครเรียนตำรวจ และวางพื้นความขัดแย้งระหว่างมาเฟียและสารวัตรผู้ทำหน้าที่คลี่คลายคดี รวมทั้งความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่อง เรียกว่าเป็นพื้นหลังของตัวละครในภาคแรกเกือบทั้งหมด พอผสมกับที่ได้ดูในภาคแรกแล้วก็จะรู้สึกว่าภาคสองดีกว่าภาคแรก คงเพราะเผยให้เห็นมิติของตัวละครที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

ส่วนภาคสาม ดูรอบเดียวไม่พอ เพราะเรื่องดำเนินสลับไปมาระหว่าง อดีต ปัจจุบัน และในจินตนาการ เลยลำดับเหตุการณ์ยากหน่อย .. อีกทั้งการวางเนื้อเรื่องคาดเดาได้ยากกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ประเด็นพื้นฐานของหนังว่าอะไรดี อะไรร้าย อะไรปะทะกัน ในภาคสามตอบยาก ทุกอย่างดูไม่ชัดเจน ไม่มั่นคง ดูมันลึกลับ ทั้งหมดมาจากบทบาทของตัวละครตัวเดียว แต่ความคลุมเคลือนี่แหละที่ทำให้ต้องติดตามหาคำตอบมากยิ่งขึ้น .. เรื่องดำเนินจนกระทั่งตอนท้ายๆ ถึงจุดที่ต้องเฉลย พอเห็นคำตอบ โห ร้ายแฮะ คือ ไอ้ที่ลึกลับทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงเพื่อสิ่งๆ เดียวซึ่งเป็นแกนของหนังทั้งเรื่อง ผมไม่เฉลียวพอจะนึกออก พอคิดย้อนแล้วก็ถึงจะเห็นว่า อ๋อ มันบอกใบ้ไว้บ้างเหมือนกัน เพียงแต่เวลาที่เห็นคำใบ้ยังโยงไม่ถูกว่าทำไมมันถึงโผล่ออกมา .. แล้วไอ้ที่วางโครงแบบไม่มั่นคงมาตลอดนี่ไม่ง่ายเลย ยิ่งมีฉากสลับช่วงเวลา สลับความจริงกับความคิด เป็นตัวย้ำ ถ้าไม่แน่จริง คนดูจะตามไม่ทัน หนังจะน่าเบื่อไปเลย อันนี้แหละที่ร้ายจริงๆ … ท้ายเรื่อง .. อืมม ก็ควรจะจบอย่างนี้ล่ะดีแล้ว ที่ติดค้างในใจจากภาคแรกก็อ่อนลงไป คิดว่านะ ..

นักแสดง แสดงดีมาก ถ้าจะเดาอะไรออกก็เพราะการแสดงของตัวหลักๆ 3-4 ตัวนี่แหละ .. สามแผ่น สามภาค กับราคาสามร้อยนิดๆ .. คุ้มโคตรๆ ครับ (โฆษณา :P)

วันเสาร์ งัวเงียๆ มานั่งทำแพ็กเกจไป วันก่อนโน้นรับปากคุณเด่นสินใน #tlwg ว่าจะลอง Gaim กับ GNU TLS ดู .. อธิบายเล็กน้อย Gaim จำเป็นต้องใช้ SSL เพื่อเชื่อมต่อในการ sign-on เซอร์วิสของ MSN ซึ่ง Gaim ออกแบบไว้ให้เลือกระหว่าง Mozilla NSS/NSPR กับ GNU TLS .. แรกเริ่มเลยผมใช้ GNU TLS ก่อนเพราะไม่อยากผูกกับ Mozilla ที่แพ็กเกจใหญ่มากๆ .. แต่ลองแล้วลองอีกก็ไม่สำเร็จเลยยอมถอยมาใช้ Mozilla NSS แล้วก็ใช้มาตลอด จนกระทั่งได้คุยกับคุณเด่นสินบ่นๆ ว่าใช้ Gaim กับ GNU TLS ไม่ได้เหมือนกัน .. ประกอบกับพี่หน่อยถามมาเรื่องจะเอา Mozilla ออก จะมีปัญหาหรือเปล่า ผมเลยมาลอง GNU TLS อีกรอบ .. GNU TLS build ยากพอสมควร ตรงที่ dependencies เยอะ (ประมาณ 5-6 แพ็กเกจ ต่อจาก base ของ aowthai) .. ผลออกมาก็น่าพอใจ ตอนนี้ gaim-0.79-3.kit ใน aowthai ใช้กับ gnutls ได้แล้ว .. ปลดพันธนาการจาก Mozilla ได้ซะที .. ฮา

แพ็กเกจ อื่นๆ ที่อัปเดตเข้า aowthai มีดระกูล gtkmm 2.0 upgrade/rebuild เพื่อปลด *.la ออกเพราะมีปัญหาเวลา build แพ็กเกจอื่นๆ ภายหลัง เรื่องนี้วุ่นๆ เหมือนกัน เคยถามใน LTN นานแล้วว่า *.la จำเป็นหรือเปล่า และคำตอบก็ดูเหมือนจะจำเป็น เลยแพ็กเกจ *.la ไว้ด้วย .. มาเจอปัญหาเมื่อวันศุกร์นี้เอง MrChoke บอกว่า rebuild arnthai ไม่ได้ ตรวจสอบก็พบว่าเป็นที่ *.la .. เหตุจริงๆ ก็คือ gtkmm มี *.la แต่ gtk ไม่มี เลย build ไม่สำเร็จ .. (me: ที่ฟังจาก MrChoke เหมือนกับว่าตอน compile/link ไลบรารี ถ้าได้ใช้ *.la มันจะพยายามใช้ *.la กับทุกตัว .. พอ gtkmm มี *.la แต่ gtk ไม่มี ก็เลยไม่ผ่าน ) .. ตอนนี้ MrChoke เลยแจ้งเข้า blog.opentle.org ไว้ว่าให้ exclude *.la ออกจาก -devel ทุกตัว … ถึงว่าสิ ทั้ง RH/FC และ Freshrpms เขา exclude *.la ออกหมด .. ลอลลล

The day after tomorrow

ไม่ได้อัปเดต blog อีกแล้ว เมื่อคืนวานเปรี้ยว อยู่ซะดึก ลืมไปว่าเช้าวันนี้มีนัด ..

เช้า .. เข้าไปบริษัท AKCP Inc. หารือเรื่องข้อตกลงในการร่วมมือกันพัฒนาซอฟต์แวร์ระหว่างบริษัท AKCP กับที่ภาควิชาวิศว.คอมฯ ม.ข. ..

บ่ายๆ .. แก้ dependencies ของ vlc ใหม่เพราะอยู่ผิด repository ตอนนี้ apt-get update / apt-get install vlc ได้แน่นอนแล้ว .. เสร็จแล้วก็นั่งจัด repository ใหม่ตามโครงสร้างที่เสนอไปใน http://blog.opentle.org เป็นการทดสอบดูด้วยว่าที่จัดไปนั้นเหมาะสมแล้วหรือยัง .. ย้ายไดเรกทอรีที่เบลดันดีไปๆ มาๆ แล้วก็พลาดจนได้ เสียเวลา re-sync ข้อมูลไปหลายชั่วโมง เฮ่อ..

เย็นๆ .. อ.กีต้าร์ชวนไปดูหนัง The day after tomorrow .. นั่งดูกันสี่คน เนื้อเรื่องก็งั้นๆ ฉากอลังการดี หนังเป็นไงช่างมัน ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องเพื่อนร่วมชมที่นั่งข้างๆ ต่ะหาก .. เริ่มเรื่องขึ้นมา สุภาพสตรีข้างซ้ายมือผมก็เริ่มหยิบป๊อปคอร์นเข้าปากก่อนเลย .. เธอมากับเพื่อนที่นั่งถัดไปทางซ้าย แต่เธอถือป๊อปคอร์นมือขวา .. อ่อ กะกินคนเดียว ไม่แบ่งเพื่อน .. เธอก็กินจุ๊กๆจิ๊กๆ ของไปไม่หยุด ผมคิดในใจ กินเก่งจังวะ เหลือบไปเห็นต้นแขน โอเค ดูจากสันฐานที่ปรากฏ มั่นใจได้ว่ากินเก่งแน่ๆ … ลอล .. จบจากป๊อปคอร์นเค็มๆ ก็ต้องตามด้วยน้ำเป๊บซี .. เธอก็ดูดน้ำจนเกลี้ยง ที่รู้ว่าเกลี้ยงเพราะ ได้ยินเสียงน้ำ คร่อกๆๆๆๆ .. ไม่หนำใจ เปิดฝาเอาหลอดเขี่ยน้ำแข็งมากินต่อ .. โอ้วว .. ก็ไม่ได้รำคาญอะไรหรอกนะครับ เพราะเธอไม่ได้เสียงดังอะไรมากมาย ยังดีกว่าโทรศัพท์ หรือมานั่งคุย นั่งวิจารณ์ในโรง … ออกมาจากโรงหนัง ผมก็เล่าเรื่องนี้ให้ อ. กีต้าร์ฟัง กลายเป็นว่า อ.กีต้าร์ที่นั่งถัดจากผมไปสามเก้าอี้ก็ได้ยินเสียงเธอดูดน้ำด้วย แล้วก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าไอ้ ‘คร่อกๆๆๆ’ มันเสียงอะไร นึกว่าเป็นเสียงลำโพงเซอร์ราวด์มันแตก .. พี่ดุลย์ถัดไปสองเก้าอี้ก็ได้ยิน แต่นึกไปว่าคงเป็นเอฟเฟ็กต์ในหนัง .. คุยเรื่องนี้ไปก็ขำไป .. ฮาา.. สรุปว่า ต้องขอบคุณสุภาพสตรีคนนั้นเป็นอย่างยิ่ง ..ที่ทำให้การชมภาพยนตร์ของเราได้รับความบันเทิงจาก side story ของเธออย่างคาดไม่ถึง .. ลอลลล

ดึกๆ นั่งทำงาน + แพ็กเกจ + #tlwg .. วันนี้ตัดสินใจ rename package libsigc++ เดิม เป็น libsigc++12 เพื่อให้ลง libsigc++ ขนานกันได้หลายเวอร์ชัน และทำให้เป็นระเบียบด้วย .. ผลก็คือกระทบแพ็กเกจไปสิบกว่าตัว เข้าคิว rebuild / upgrade กันไป คาดว่าจะเสร็จในวันพรุ่งนี้ งานนี้โทษใครไม่ได้เลย ผมแพ็กเกจพลาดเองมาตั้งแต่แรก

เจอแพ็กเกจที่ต้องระบุ requires: libsomething = x.x เป๊ะๆ เวอร์ชันเก่า/ใหม่กว่าก็ไม่ได้ .. เออ แปลกดี

เรื่องสุดท้ายสำหรับ blog วันนี้:

kitt@peorth kitt =) $ uname -a
Linux peorth.kitty.in.th 2.6.6-mm5-acer-tm360 #2
Wed May 26 17:22:16 ICT 2004 i686 i686 i386 GNU/Linux

งานคอมมาร์ตเดือนห้า, Kill Bill vol.2, FreeType + BCI enabled

หมู่นี้รู้สึกว่าบันทึก blog ไม่ค่อยสม่ำเสมอเหมือนแต่ก่อน มีเหตุสุดวิสัยบ้าง ลืมบ้าง ขี้เกียจบ้าง (อย่างหลังเกิดบ่อย) .. ก็จะมีรายการบันทึกรวบยอดสองวันสามวันบ้าง อย่างเช่น blog วันนี้เป็นต้น..

เมื่อวานนี้ตื่นเกือบเที่ยง นัดแนะกับเสี่ยต้น โชค พี่ดุลย์ ว่าจะไปงานคอมมาร์ตกัน .. กว่าจะได้ออกจริงๆ ก็เกือบบ่ายสอง ไปถึงงานคอมมาร์ตบ่ายสามกว่าๆ ไม่มีจุดประสงค์ในการมางานนี้ซักเท่าไหร่ เลยเดินเล่นดูบูธโน้นบูธนี้ไปเรื่อยๆ .. ผมกะไปดูราคากล่้องดิจิทัลเทียบกับร้านทั่วไป ก็พบว่ามันไม่ค่อยถูก ที่จริงต้องบอกว่าบางรายการแพงกว่าที่ขายตามร้านทั่วไปด้วยซ้ำ ส่วนอุปกรณ์คอมฯ แทบไม่ได้ดูเลยเพราะถ้าอยากจะซื้อผมได้ราคาดีลเลอร์อยู่แล้ว :P … สรุปก็เลยเดินดูงานไปเรื่อยๆ สะสมโบรชัวร์ ใบราคาสินค้า อย่างหลังนี่หายากมาก แต่ละร้านไม่ยอมแจกเลย อยากรู้ต้องถามและต่อรองกันเอาเองเป็นรายๆ ไป ผมไม่ค่อยชอบวิธีนี้เพราะช้า เปรียบเทียบยาก ตัดสินใจก็ยากตามไปด้วย แถมผู้ซื้อต้องยืนคุยกับผู้ขายนานๆ จนคนล้นหน้าร้าน .. ก็เข้าใจอยู่ว่าเป็นวิธีป้องกันตัวของร้านค้านั่นล่ะ จะได้ปรับราคาได้คล่องตัว แต่ถ้างานคอมพ์ยังเป็นแบบนี้ไปเดินห้างไอทีดีกว่า..

สรุปเรื่องสินค้า งานนี้ก็คงเหมือนทุกครั้ง และทุกปี ตั้งแต่สมัยงานคอมพิวเตอร์ไทยโน่น คือของไม่ได้ถูกกว่าร้านห้างไอทีเลย .. สิบปีที่แล้วเคยเหมารถตู้มาจากขอนแก่น แต่ละคนตั้งใจมาซื้อคอมพ์ในงานโดยเฉพาะ พกตังค์รวมกันแล้วหลายแสน แต่สุดท้ายก็ได้ไปซื้อที่พันธุ์ทิพย์ เพราะในงานไม่ถูกจริง ต่อรองยาก ประมาณว่าลูกค้าเยอะแล้วไม่ง้อ

อีกมุมหนึ่ง รู้สึกว่างานคอมพ์เริ่มเหมือนมอเตอร์โชว์ขึ้นทุกวันเพราะเริ่มจะมีรอบโชว์พิเศษแล้ว อย่างในครั้งนี้ก็มีบูธนึงที่เอาเชียร์ลีดเดอร์ทีมแชมป์ประเทศไทยมาโชว์ .. ส่วนบูธไมโครซอฟต์ ขนฮาร์ดแวร์มาขายเยอะ เลยเดินผ่านไปดูเมาส์นิดนึง แปะป้ายลด 50% เขียนตัวเล็กๆ มุมๆ ว่าเมื่อซื้อชิ้นที่สอง .. เวง ..และที่ โฆษณาซะเว่อร์ว่าเป็นนวัตกรรมสุดยอด ไมโครซอฟต์คีย์บอร์ดกันน้ำได้ (- -‘) .. คือ .. เมื่อสิบปีก่อนน่ะ เวลาทดสอบโน้ตบุ๊กเขาเอากาแฟร้อนราดคีย์บอร์ดด้วยซ้ำไป .. แล้วคีย์บอร์ดท่านมันนวัตกรรมตรงไหนฟะ .. พี่ดุลย์ติดใจสาวหมวยบูธ Easy Write เป็นพิเศษ .. Epson ยังคงรักษามาตรฐานไว้เหมือนเดิม (จำได้ว่า สมัยมางานคอมพิวเตอร์ไทยเมื่อหลายปีก่อนโน้น รุ่นน้องเคยวิ่งหน้าตาตื่น พร้อมยกนิ้วโป้งทั้งสองมือ บอกว่า “พี่ๆ บูธเอ็ปสัน สุดยอดๆ” ) .. Segway ตัวโตกว่าที่คิด ราคาแค่สองแสนห้า (- -‘).. คนที่โชว์ Segway ยังเล่นไม่เก่ง เหมือนกลัวจะล้ม หรือไม่ก็เครื่องเจ๊ง .. ผมเคยเห็นเดโมของเมืองนอก เล่นได้โคตรคล่อง ยังกะเต้นรำ จนต้องยอมรับว่า Segway ตอบสนองการเคลื่อนไหวได้เร็วมาก แทบไม่ต้องกังวลเรื่องล้มหน้าแตก (.. หรือหน้าแหก) .. อ่อ /. เคยลงบทความสร้าง Segway ด้วยตัวเอง ถูกกว่าหลายเท่าตัว ..

ออกมาจากงานราวๆ หกโมง มีเสี่ยต้นเสียตังค์คนเดียว (ซื้อแผ่น DVD+R) คนอื่นๆ เสียแต่ค่ามอเตอร์ไซต์รับจ้าง .. ขากลับแวะกินข้าวที่ฟอร์จูน ผมเสียตังค์ซื้อวีซีดีไปแผ่นนึง พี่ดุลย์เสียตังค์ซื้อเป๊บซี่สองขวดเห็นว่าลดราคา … ออกจากฟอร์จูนสองทุ่มหันมาเจอป้าย Kill Bill vol.2 หน้าโรบินสัน รัชดา เลยวางแผนไปดูกันที่เมเจอร์รัชโยธิน .. พอไปถึงปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ รปภ. ปิดทางเข้าหมดเลย ไม่มีที่จอด .. เปลี่ยนแผนไปเมเจอร์รังสิตแทน .. ทันรอบสามทุ่มพอดี ได้นั่งใกล้ชิดดารามาก (แถว H .. เกือบๆ จะหน้าสุด) .. ดูได้ไม่เต็มจอ เวียนหัวเอาเรื่อง

Kill Bill vol.2 ไม่ค่อยจะประทับใจเท่า vol.1 ออกจะจืดๆ เนือยๆ แทบไม่มีมุขอะไร ไม่มีฉากที่ต้องพูดถึงเป็นพิเศษ เหมือนจะดำเนินไปเพื่อคลี่คลาย เฉลยเรื่องราวทั้งหมดที่ขมวดไว้ตอนภาคแรก แล้วก็จบกันไปเฉยๆ ยังกะไม่ใช่ฝืมือทารันทิโน .. หรือจะพูดอีกอย่าง คือภาคนี้ให้คนอื่นสร้าง/กำกับก็คงไม่ต่างกัน .. ส่วนตัวชอบ เดวิด คาราดีน แสดงได้เก๋า มาดนิ่ง บุคลิคคล้ายๆ หนัง/ซีรีส์แนวศิลปะการต่อสู้ฝั่งตะวันออกที่เคยแสดงมาก่อนหน้านี้ และลูกสาวของเดอะไบรด์ “บี.บี.” แสดงโดย เพอร์ลา ฮานีย์-จาร์ดีน (Perla Haney-Jardine) .. น่ารักโคตรๆ ใครเห็นก็ต้องยิ้ม :)

กลับมาห้องแล็บ กลิ่นสีน้ำมันยังไม่จางเท่าไหร่ นั่งสักพักก็ปวดหัวอีก เลยกลับมาออนไลน์ที่หอพัก .. เข้า #tlwg .. จนหลับ

ตื่นมาวันนี้เกือบห้าโมงเย็น นอนจนเมื่อย .. ลุกมาหาข้าวกิน แวะห้องแล็บอีกที .. โอ้ ยังมีกลิ่นชวนปวดหัวอยู่ เลยกลับมาหอเหมือนเดิม มีคิวอัปเดตแพ็กเกจอีกเยอะมากร่วมสามสิบแพ็กเกจ .. แต่งานเร่งด่วนเวลานี้คือเขียนรายงานวิทยานิพนธ์ฉบับเต็มที่มลายหายไปกับฮาร์ดดิสก์ตัวก่อน (ฮาร์ดดิสก์เจ๊งคราวนั้นเล่นเอาเข็ดไปอีกนาน เรียกได้ว่าล้มละลายทางข้อมูล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเลย rsync สำรองข้อมูลสำคัญๆ ไปเก็บไว้อีกเครื่องนึงด้วย) .. ดังภาษิตหมากล้อมกล่าวไว้ว่า “งานเร่งสำคัญกว่างานใหญ่” เรื่องแพ็กเกจระยะนี้คงอัปเดตช้าลง :P

อ่อ ลืมไปเรื่องนึง รุ่นน้องที่เอไอทีลอง enable bytecode interpreter ใน FreeType บน Gentoo แล้วรายงานมาว่าตัวหนังสือสวยขึ้นเยอะ ผมเลยลองทำแพ็กเกจ FreeType ใหม่โดย enable bytecode interpreter ด้วย ผลก็คือ ฟอนต์ที่มี hint ดีๆ เรนเดอร์ออกมาได้สวยมาก อย่าง Tahoma นี่ตัวหนังสือสวย เส้นคม เหมือนวินโดวส์เลย ส่วนที่ไม่มี hinting อย่าง Loma ก็ดูเป็นคลื่นดังคาด … Tahoma จัดอยู่ในชุด core font ตาม EULA แล้ว end-user โหลดเอามาใช้งานได้ฟรี แต่ห้ามเผยแพร่ ฟอนต์อื่นๆ ของไมโครซอฟต์วินโดวส์ถ้าต้องการใช้อย่างถูกต้อง ควรมีไลเซนส์ของวินโดวส์ด้วย (ซึ่งผมมีมากับโน้ตบุ๊กอยู่แล้ว.. หุๆๆ ^^) .. ส่วน bytecode interpreter มีสิทธิบัตร (ของ Apple Inc. ?) คุ้มครองอยู่ ผมจึงเผยแพร่ตัว pre-compiled binary ไม่ได้ (ที่จริงอาจจะได้เพราะประเทศไทยไม่มีการคุ้มครองสิทธิบัตรซอฟต์แวร์) ถ้าใครสนใจจะใช้งานก็ต้องคอมไพล์กันเอง .. source-based อย่าง Gentoo ก็ emerge ได้ไม่ยากเย็นอะไร ส่วน RPM-based เอา src.rpm มา rebuild โดย enable bytecode interpreter ได้เช่นกัน FreeType มี depend ไม่กี่ตัว build ไม่ยากครับ :)